อุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง
ปราสาทหินพนมรุ้งเป็นเทวสถานในศาสนาฮินดู
ลัทธิไศวนิกาย มีการบูรณะก่อสร้างต่อเนื่องกันมาหลายสมัย
ตั้งแต่ประมาณพุทธศตวรรษที่ 15 ถึงพุทธศตวรรษที่ 17
และในพุทธศตวรรษที่ 18 พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 แห่งอาณาจักรขอมได้หันมานับถือพุทธศาสนาลัทธิมหายาน
เทวสถานแห่งนี้จึงได้รับการดัดแปลงเป็นศาสนสถานในพุทธศาสนา ในช่วงแรกปราสาทหินพนมรุ้ง
สร้างขึ้นจากหินทรายสีชมพู ตั้งอยู่บนยอดเขาพนมรุ้งสูง 1,320
ฟุตจากระดับน้ำทะเล ชื่อพนมรุ้งแปลว่าภูเขาใหญ่
สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 15-18 จารึกต่าง ๆ
ที่นักวิชาการได้อ่านและแปลพอจะสรุปได้ว่า พระเจ้าราเชนทรวรมันที่ 3 กษัตริย์แห่งเมืองพระนคร (พ.ศ. 1487-1511) ได้สถาปนาเทวาลัยถวายพระอิศวรที่เขาพนมรุ้ง
ซึ่งในสมัยแรก ๆ คงยังไม่ใหญ่โตนัก ต่อมาพระเจ้าชัยวรมันที่ 5 (พ.ศ. 1511-1544) ได้ทรงอุทิศที่ดินและข้าทาสถวายแด่เทวสถานพนมรุ้ง
ในสมัยพุทธศตวรรษที่ 17 นเรนทราทิตย์
เจ้านายแห่งราชวงศ์มหิทรปุระที่ปกครองดินแดนแถบนี้
(ซึ่งเป็นต้นตระกูลของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ผู้สร้างนครวัด)
ได้สร้างปราสาทแห่งนี้ขึ้นและได้ทรงบำเพ็ญพรตเป็นโยคี ณ ปราสาทพนมรุ้ง
มีประวัติหลายอย่างทางวัถตุทางธรรมชาติกว่า100000ปีควรอนุรักษ์ไว้ไห้ลูกหลานสืบต่อไป
ความสวยงาม ความเป็นอยู่ของประชากร ของชาวจ.บุรีรัมย์
กลุ่มสาระการเรียนรู้ : สังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม
กลุ่มสาระการเรียนรู้ : สังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม
ปราสาทหินนครวัด
เป็นปราสาทหินที่เก่าแก่และยิ่งใหญ่ที่สุดของขอม
ซึ่งนครธมได้สร้างขึ้นก่อนนครวัด โดยนครธมสร้างเมื่อประมาณ ค.ศ.1345-1412
ในรัชสมัยของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 และที่ 2 นครธมมีเนื้อที่ทั้งหมดประมาณ 25,000 ไร่
ประกอบด้วยปราสาทกระจัดกระจายอยู่ตามบริเวณต่างๆ ไม่ต่ำกว่า600 แห่ง
ตัวนครธมเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีคูเมือง กำแพง ป้อมปราการสวยงาม แข็งแรง
สร้างด้วยหินในเนื้อที่ 5,500 ไร่ ปราสาทของนครธมทุกยอด
เป็นหน้าพรหมเกือบทั้งสิ้น ล้อมรอบด้วยปราสาทเล็ก มีชื่อเรียกต่างๆ เช่น
ปราสาทแปรรูป ปราสาทแม่บุญ ปราสาทบายน เป็นต้น ส่วนนครวัด
เป็นศิลปะที่สร้างด้วยหินเช่นเดียวกับนครธม สร้างเมื่อประมาณ ค.ศ.1643
ในสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 เป็นปราสาทหิน 3 ชั้น หรือ 3 ตอน
ประกอบด้วยคูเมืองขนาดใหญ่ มีเขื่อนก่อสร้างด้วยศิลารอบทั้ง 4 ทิศ
มีสะพานหินใหญ่โต นครวัด-นครธม สร้างด้วยฝีมือมนุษย์และการแกะสลักลวดลายลงบนหินที่สวยงามมาก
แต่การสร้างนครทั้งสองนี้ก็ทำให้ขอมสูญเสียกำลังคนและทรัพย์สิน
เป็นจำนวนมากจึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ขอมถูกยึดอำนาจคืน
จนในที่สุดขอมก็หมดสิ้นอำนาจไป
กลุ่มสาระการเรียนรู้ : สังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม
กลุ่มสาระการเรียนรู้ : สังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม
ปราสาทบันทายสำเหร่
ปราสาทบันทายสำเหร่
(เขมร: ប្រាសាទបន្ទាយសំរែ บอนตีย์สำแร)
ปราสาทนี้ได้รับการบูรณะโดยช่างชาวฝรั่งเศสด้วยวิธี Anastylose[1] ซึ่งเป็นวิธีซ่อมแซมโดยคงสภาพเดิมของปราสาทไว้ให้มากที่สุด
จะไม่มีการต่อเติมหรือเพิ่มลวดลายขึ้นมาใหม่ โดยมีขั้นตอนดังนี้
ช่างจะทำแผนผังส่วนประกอบต่าง ๆ ของปราสาทไว้ทั้งหมด จากนั้นก็ค่อยๆ
รื้อชิ้นส่วนต่าง ๆ ลงมา โดยจะทำเครื่องหมายและถ่ายภาพชิ้นส่วนทุกชิ้น
จากนั้นก็ทำการปรับพื้นฐานล่างของปราสาทให้มั่นคงแข็งแรง
แล้วสุดท้ายจึงประกอบชิ้นส่วนทั้งหมดกลับเข้าไปเหมือนเดิม
การบูรณะปราสาทด้วยวิธีนี้ช่างฮอลันดาเป็นผู้คิดค้นขึ้นและใช้ครั้งแรกที่ประเทศอินโดนีเซีย
สำหรับในประเทศไทยเคยใช้กับการบูรณะปราสาทหินพิมายและปราสาทหินเขาพนมรุ้ง
ปราสาทบันทายสำเหร่ตั้งอยู่นอกเมืองพระนครไปทางตะวันออก
นักวิชาการสันนิษฐานว่าสร้างในสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 หรืออาจจะเป็นสมัยพระเจ้ายโศวรมันที่
2 เป็นเทวสถานฮินดู ศิลปะแบบนครวัด
ภาพสลักส่วนใหญ่แสดงเรื่องราวเกี่ยวกับเรื่องรามเกียรติ์ มีการแกะลายที่ชัดเจน
ลึกและหนักแน่น
กลุ่มสาระการเรียนรู้ : สังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม
ปราสาทบันทายศรี
ปราสาทแห่งนี้สร้างอุทิศถวายพระอิศวรภายใต้พระนามว่า
"ตรีภูวนมเหศวร" หรือ "ผู้เป็นใหญ่แห่งโลกทั้งสาม"
ปราสาทมีขนาดเล็ก สร้างด้วยหินทรายสีชมพูซึ่งหายาก สร้างขึ้นเมื่อเดือนเมษายน -
พฤษภาคม พ.ศ. 1510 โดยพราหมณ์ยัชญวราหะ ในตอนปลายของสมัยพระเจ้าราเชนทรวรมันที่ 2 (หรือพระเจ้า ชัยวรมันที่ 4 พ.ศ. 1487 - 1511)
และเสร็จในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 5 (พ.ศ. 1511-1554)ซุ้มประตูทางเข้า
จำหลักภาพพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณลวดลายมีความละเอียดสวยงามมากซุ้มทางซ้ายมือ
จำหลักภาพพระอิศวรทรงโค มีพระอุมาเทวีประทับด้านซ้ายซุ้มทางขวามือ
มีรูปพระนารายณ์อวตารเป็นนรสิงห์ผ่านประตูเข้าไปจะเห็นปราสาทองค์แรก
สร้างอยู่เหนือฐานเดียวกันซึ่งสูง 90 เซนติเมตร
ขนาบด้วยบรรณาลัย ซึ่งเป็นที่เก็บรักษาตำราหรือวัตถุที่ใช้ในพิธีเคารพบูชา
มีประตูเข้าทางทิศตะวันออกและทิศตะวันตก ซุ้มประตูหรือโคปุระนี้
ประดิษฐานปฏิมากรรมด้วยลวดลายที่งามวิจิตรอ่อนช้อย ลวดลายประดับที่ปราสาทบันทายศรี
สลักเสลาอย่างวิจิตรบรรจง ไม่ว่าจะเป็นเทพธิดาหรือนางอัปสรา
ก็เต็มไปด้วยความสง่างามและมีชีวิตจิตใจในกรอบซุ้มปราสาทองค์แรก
มีรูปพระศิวะกำลังร่ายรำ หรือที่เรียกว่า ศิวนาฏราช ท่ารำของพระองค์มีถึง 108 ท่า แต่ละท่ามีผลต่อฟ้าดิน หน้าบันของห้องสมุดทางด้านทิศใต้
สลักภาพพระอิศวรกำลังประทับนั่งอยู่เหนือเขาไกรลาศที่หน้าบันห้องสมุดทางด้านทิศเหนือ
แสดงภาพพระอินทร์กำลังบันดาลให้ฝนตกลงมา บนอาคารเดียวกันนี้
เหนือหน้าบันทางทิศตะวันตกแสดงภาพพระกฤษณะกำลังประหารพระยากงศ์ในพระราชวัง ภาพสลัก
ณ ปราสาทบันทายศรี นอกจากความงดงามในฝีมือการสลักแล้ว
ยังมีคุณค่าเกี่ยวกับมนุษย์อย่างลึกซึ้ง
อันเห็นได้จากความรู้สึกที่แสดงออกมาจากภาพเหล่านั้น ซึ่งเป็นพยานหลักฐานชิ้นแรก
ที่ทำให้เราทราบเกี่ยวกับชีวิตของชาวขอมในต้นพุทธศตวรรษที่ 16
กลุ่มสาระการเรียนรู้
: สังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม , ศิลปะ
ปราสาทฮิเมะจิ
ปราสาทฮิเมะจิ (ญี่ปุ่น: 姫路城 Himeji-jo, Himeji Castle ?) เป็นปราสาทญี่ปุ่น
ตั้งอยู่ในเมืองฮิเมะจิ จังหวัดเฮียวโงะ
เป็นสิ่งก่อสร้างที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งที่เหลือรอดมาจากการทิ้งระเบิดในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองและแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ฮันชิง
พ.ศ. 2538 ปราสาทฮิเมะจิได้รับการยกย่องจากยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกและสมบัติประจำชาติญี่ปุ่นเมื่อเดือนธันวาคมปี
พ.ศ. 2536 ถือว่าเป็น 1 ใน 3 ปราสาทที่งดงามที่สุดในญี่ปุ่น โดยอีก 2 แห่งคือ
ปราสาทมะสึโมะโตะ และปราสาทคุมะโมะโตะ
และยังเป็นปราสาทที่มีผู้มาเยี่ยมชมมากที่สุดในญี่ปุ่น ชาวญี่ปุ่นนิยมเรียกในชื่อว่า
ปราสาทนกกระสาขาว ซึ่งมีที่มาจากพื้นผิวปราสาทภายนอกซึ่งมีสีขาวสว่าง
ในปัจจุบันปราสาทฮิเมะจิได้ขึ้นทะเบียนเป็นสมบัติประจำชาติญี่ปุ่นและมรดกโลก
ปราสาทฮิเมะจิเป็นตัวอย่างที่สมบูรณ์ของปราสาทญี่ปุ่น ด้วยมีลักษณะสถาปัตยกรรมและยุทโธปกรณ์ครบตามแบบของปราสาทญี่ปุ่น ทั้งฐานหินสูง กำแพงสีขาว และอาคารต่างๆในบริเวณปราสาทถือได้ว่าเป็นมาตรฐานตามแบบของปราสาทญี่ปุ่น และรอบๆปราสาทยังมีเครื่องป้องกันอีกมากมาย เช่น ช่องใส่ปืนใหญ่ รูสำหรับโยนหินออกนอกปราสาท
จุดเด่นของปราสาทอย่างหนึ่งคือ ทางเดินสู่อาคารหลักซึ่งสลับซับซ้อนราวกับเขาวงกต ทั้งประตูและกำแพงต่างๆในปราสาทได้รับการออกแบบมาอย่างดีเพื่อป้องกันศัตรูไม่ให้บุกรุกเข้าถึงโดยง่าย โดยทางเดินมีลักษณะเป็นวงก้นหอยรอบๆอาคารหลัก และระหว่างทางก็จะพบทางตันอีกมากมาย ระหว่างที่ศัตรูกำลังหลงทางอยู่นี้ก็จะถูกโจมตีจากข้างบนอาคารหลักได้โดยสะดวก แต่อย่างไรก็ตาม ปราสาทฮิเมะจิก็ยังไม่เคยถูกโจมตีในลักษณะนี้เลย ระบบการป้องกันต่างๆจึงยังไม่เคยถูกใช้งาน
ปราสาทฮิเมะจิเป็นตัวอย่างที่สมบูรณ์ของปราสาทญี่ปุ่น ด้วยมีลักษณะสถาปัตยกรรมและยุทโธปกรณ์ครบตามแบบของปราสาทญี่ปุ่น ทั้งฐานหินสูง กำแพงสีขาว และอาคารต่างๆในบริเวณปราสาทถือได้ว่าเป็นมาตรฐานตามแบบของปราสาทญี่ปุ่น และรอบๆปราสาทยังมีเครื่องป้องกันอีกมากมาย เช่น ช่องใส่ปืนใหญ่ รูสำหรับโยนหินออกนอกปราสาท
จุดเด่นของปราสาทอย่างหนึ่งคือ ทางเดินสู่อาคารหลักซึ่งสลับซับซ้อนราวกับเขาวงกต ทั้งประตูและกำแพงต่างๆในปราสาทได้รับการออกแบบมาอย่างดีเพื่อป้องกันศัตรูไม่ให้บุกรุกเข้าถึงโดยง่าย โดยทางเดินมีลักษณะเป็นวงก้นหอยรอบๆอาคารหลัก และระหว่างทางก็จะพบทางตันอีกมากมาย ระหว่างที่ศัตรูกำลังหลงทางอยู่นี้ก็จะถูกโจมตีจากข้างบนอาคารหลักได้โดยสะดวก แต่อย่างไรก็ตาม ปราสาทฮิเมะจิก็ยังไม่เคยถูกโจมตีในลักษณะนี้เลย ระบบการป้องกันต่างๆจึงยังไม่เคยถูกใช้งาน
กลุ่มสาระการเรียนรู้
: สังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น